Thursday, November 1, 2018

พระอินทร์ เทพผู้เป็นใหญ่ในทิศตะวันออก

      สวัสดีค่ะ...วันนี้เรามีเรื่องราวของพระอินทร์ มานำเสนอให้ทุกคนได้อ่านกันนะคะ ซึ่งบทบาทความสำคัญของเทพองค์นี้ก็คือพระอินทร์นั้นได้ชื่อว่าเป็นเทพที่ประจำทิศตะวันออกส่วนวันนี้เราจะมานำเสนอในหัวข้ออะไรบ้าง ไปดูกันเลยค่ะ

ที่มา:www.horoguide.com/พระอินทร์-ผู้เป็นใหญ่ใน

พระอินทร์ หรือที่รู้จักกันอีกหลายๆชื่อ เช่น ท้าวสหัสมนัยน์ ท้าวโกสีย์ ท้าวสักกะ เทวราช อมรินทร์ ศักรินทร์ มัฆวาน หรือเพรชรปาณี เป็นต้น

ตำนานการกำเนิดพระอินทร์

          คัมภีร์ฤคเวท...กล่าวว่า อสูรตนหนึ่งชื่อวฤตรา ได้กวาดต้อนฝูงควายสวรรค์ที่ทำหน้าที่เป็นเมฆฝนกักไว้ในป้อมของตน ทำให้เกิดความแห้งแล้งทั่ว มนุษย์จึงวิงวอนสวดขอความช่วยเหลือจากเทพ  ทำให้บิดาแห่งสวรรค์ คือ ทยาอุสได้รวมตัวกับพระแม่ธรณีปฤถิวี สร้างพระอินทร์ขึ้นมา ทันทีที่ถือกำเนิด พระอินทร์ก็คว้าน้ำอมฤตมาดื่มจนร่างเต็มเปี่ยมไปด้วยเทวอำนาจกลายเป็นพระเจ้าผู้ครองโลกทั้งสาม ดื่มเสร็จก็ฉวยสายฟ้าซึ่งเป็นอาวุธของทยาอุสกระโดดขึ้นรถทรงสีทองพร้อมด้วยมารุตเทพและได้ไปปราบอสูรวฤตรา
ภายหลังก็กลับมาฆ่าพระบิดาแล้วสถาปนาตนเองเป็นบิดาแห่งสวรรค์      พระอินทร์เป็นเทวราชาผู้ทรงเป็นเจ้าแห่งพายุฝนการเกษตรและความอุดมสมบูรณ์ .....ดังนั้นจึงมีผู้คนเป็นอันมากเคารพนับถือและอ้อนวอนต่อพระองค์เพื่อหวังอย่าให้เกิดความแห้งแล้งให้มีแต่ความอุดมสมบูรณ์
             พระอินทร์เป็นเทวราชาผู้ทรงเป็นเจ้าแห่งพายุฝน การเกษตรและความอุดมสมบูรณ์ .....ดังนั้นจึงมีผู้คนเป็นอันมากเคารพนับถือและอ้อนวอนต่อพระองค์เพื่อหวังอย่าให้เกิดความแห้งแล้งให้มีแต่ความอุดมสมบูรณ์
พระอินทร์เป็นเทพที่รู้จักกันมาเก่าแก่ในยุคพระเวท และไตรเพทก็ยกย่องเทวดาองค์นี้มากเป็นพิเศษ สมัยพระเวททรงยิ่งใหญ่กว่าเทพองค์ไหนๆ และตอนนั้นยังไม่ปรากฏตรีมูรติ อำนาจของพระอินทร์เริ่มเสื่อมถอยลงเมื่อมีการสถาปนามหาเทพทั้งสาม หรือพระตีมูรติ

ลักษณะของพระอินทร์

พระอินทร์มีลักษณะคล้ายพระนารายณ์ มีรูปกายที่สวยงาม และมีผิวสีเขียว แต่ในบางครั้งจะเปลี่ยนเป็นสีทองจนถึงขาวนวล ตามแต่โอกาส พระหัตถ์ของพระอินทร์จะถือวัชระเพื่อใช้ปราบ พฤตาสูร หรือ ผีร้ายแห่งความแห้งแล้ง นอกจากนี้ยังมีศาสตราวุธอื่นๆอีก เช่น ศรศักรธนู พระขรรค์ ปรัญชะ ขอ และร่างแห

ที่มา:www.horoguide.com/พระอินทร์-ผู้เป็นใหญ่ใน
พระอินทร์ มีมเหสีหลายคน ไม่ว่าจะเป็น นางสุธรรมา สุชาดา สุนันทา สุจิตรา และยังมีนางฟ้าเป็นชายาอีกเก้าสิบสองนาง รวมถึงมีนางบำเรออีกยี่สิบสี่ล้านนาง

มีพาหนะ คือ รถเทียมม้าสีแดง และม้าแก้วทรงสีขาว ชื่อว่า อุจไฉศรพ  ซึ่งเกิดจากเกษียรสมุทร อีกทั้งยังมีช้างทรง 3 เศียร (แต่เดิมมีถึง 33 เศียร) นามว่า คชาเอราวัณ หรือซึ่งปกติจะเป็นเทพบุตรผู้หล่อเหลา และชอบดื่มเหล้า และจะแปลงกายเป็นช้างเอราวัณเมื่อพระอินทร์จะไปไหนช้างเอราวัณเป็นพาหนะ 

ที่มา:https://artsandculture.google.com/asset/พระอินทร์-ณ-ดาวดึงส์/gwEp5iDixfzf6w?hl=th


ถือได้ว่าพระอินทร์นั้นเป็นเทวดาผู้เป็นใหญ่ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ พระเทวาธิบดี / เทพแห่งการสงคราม และภูมิอากาศ  เป็นผู้ดูแลทุกข์สุขของมนุษย์โลก  ยามใดที่มีเรื่องเดือดร้อนขึ้นบนโลกมนุษย์ อาสนะของพระองค์ที่เคยอ่อนนุ่ม ก็จะแข็งกระด้าง หรือบางครั้งก็ร้อนจนไม่สามารถประทับอยู่ได้
     พระอินทร์มีชื่อเรียกอย่างอื่น เช่น ท้าวสหัสนัยน์ ท้าวโกลีย์ ท้าวสักกะ เทวราช อมรินทร์ ศักรินทร์ มัฆวาน เพชรปาณี

ตัวอย่างงานศิลปะที่แสดงออกถึงพระอินทร์

ที่มา:http://www.oceansmile.com/KHM/Tamnanthep.htm

         ผลงาน : ทับหลังจากปราสาทบันทายสรี
พระอินทร์ : เทพผู้รักษาทางด้านทิศตะวันออกและผู้พิทักษ์พุทธศาสนา
พระอินทร์ประทับอยู่ในชั้นวิมานอมราวดีมีบรรดาเหล่านางฟ้าและคนธรรพ์ล้อมรอบอยู่มากมาย ถือวัชระ 6 แฉก เป็นสัญลักษณ์ของสายฟ้า นอกจากนี้ในบางครั้งก็ยังถือดอกบัวอยู่ในพระหัตถ์ โดยสิ่งที่สามารถทำให้เราสามารถดูแล้วบอกได้เลยว่าเป็นพระอินทร์คือการทรงช้างเอราวัณที่เป็นพาหนะประจำตัวของพระอินทร์นั่นเอง

ที่มา:www.finearts.go.th/promotion/2016-10-17-04-11-38/item/พระเมรุมาศ-เทวราชา-พระโพธิสัตว์-พระอนาคตพุทธเจ้า.html

             ผลงาน:ภาพจิตรกรรมฝาผนังอุโบสถ วัดดุสิตธานี ธนบุรี
           พระอินทร์อัญเชิญพระเขี้ยวแก้วของพระพุทธองค์ขึ้นไปประดิษฐานในเจดีย์จุฬามณี บนสวรรค์ดาวดึงส์ 


             ผลงาน:ภาพวาดพระอินทร์สหัสนัยน์ หรือพระอินทร์พันตา
              ภาพนี้เป็นภาพที่มาจากเรื่องเล่าที่เกี่ยวกับคว่มเจ้าชู้มากเมียของพระอินทร์ตามประวัติที่ได้กล่าวไปข้างต้น เนื่องจากพระอินทร์นั้นได้ไปสมสู่กับเมียของเคาตมะและโดนจับได้จึงโดนสาปให้ทั้งร่างกายนั้นเต็ฒไปด้วยโยนี และทำให้ได้ชื่อว่า สหัสโยนี และต่อมาด้วยความสงสารจึงได้รับการยกโทษเคาตมะจึงสาปให้โยนีเหล่านั้นกลายเป็นดวงตาแทน
          
อ้างอิง 
ไม่ทราบผู้แต่ง.(ม.ป.ป.)สืบค้นเมื่อวันที่1พฤศจิกายน 2561.จากhttps://www.tumnandd.com/พระอินทร์-ผู้เป็นใหญ่ใน/

ครูเลิศชาย ปานมุข.(2018).ตำนานกำเนิดพระอินทร์.สืบค้นเมื่อวันที่1พฤศจิกายน 2561.จากwww.lertchaimaster.com/forum/index.php?topic=662.0
http://www.oceansmile.com/KHM/Tamnanthep.htm
 http://board.postjung.com/687742.html ภาพจาก wikipidia
www.finearts.go.th/promotion/2016-10-17-04-11-38/item/พระเมรุมาศ-เทวราชา-พระโพธิสัตว์-พระอนาคตพุทธเจ้า.html
BenzKaweewut.(2017).พระอินทร์ ที่มาของสหสัสนัยน์.สืบค้นเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2561.จาก https://storylog.co/story/5943d664ac49b6fa5052eaba

Tuesday, October 16, 2018

โบสถ์บาโรค สมบัติล้ำค่าจากชาติตะวันตก

กูมูสตาา...สวัสดีค่ะ ชาวบล็อกเกอร์ทุกคน มาถึงสัปดาห์นี้นะคะ มาลีก็จะพาทุกๆคนไปท่องเที่ยวกับดินดินที่เหลือเชื่อแต่ว่าก็มีอยู่จริงๆและในวันนี้ดินแดนที่ว่านี้ได้สิงสถิตอยู่ที่ประเทศ ฟิลิปปินส์ นั่นเอง ถ้าพูดถึงเรื่องความโดดเด่นของประเทศฟิลิปปินส์ที่ถือว่ามี 1 เดียวไม่เหมือนใครอื่นใดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แล้ว คงจะมีการเด่นชัดมากที่สุดในเรื่องของศาสนาคริสต์ นิกายโรมันคาทอลิกใช่ไหมคะ ซึ่งเมื่อมีศาสนาแล้ว ก็ต้องมีศาสนสถานซึ่งจะเกี่ยวกับการไปท่องเที่ยวเยี่ยมเยือนสถานทีองเราในวันนี้นั่นเอง และสถานที่ที่เราจะไปเยอนวันนี้ นั่นก้คือ โบสถ์บาโรค แห่งประเทศฟิลิปปินส์
นี่เองค่ะ
ที่มา http://en.wikipedia.org/wiki/Paoay_Church

ความเป็นมาแบบย่อๆนะคะ 

     โบสถ์บาโรคแห่งฟิลิปินส์ ประกอบด้วยโบสถ์โรมันคาทอลิก 4 แห่งที่สร้างขึ้นระหว่างศตวรรษที่
ที่มา https://pi-nu.blogspot.com/2017/03/world-heritage-site-filippinesingapore.html
16-18 ในช่วงที่ฟิลิปปินส์เป็นอาณานิคมของสเปน นอกจากจะแสดงถึงการเข้ามาของศาสนาคริสต์ในหมู่เกาะของฟิลิปปินส์แล้ว ยังเป็นศูนย์กลางอำนาจในการปกครองอาณานิคมของสเปนอีกด้วย สถาปัตยกรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของโบสถ์ไม่เพียงแค่สะท้อนให้เห็นถึงการปรับตัวของสถาปัตยกรรมแบบสเปนหรือละตินอเมริกันกับสภาพแวดล้อมในท้องถิ่นเท่านั้น แต่ยังมีการผสมผสานศิลปลวดลายของจีนอีกเข้าไปอีก
เนื่องจากความมีอิทธิพลของคริสตจักรในทางการเมือง ทำให้คริสตจักรและรัฐถือเป็นหนึ่งเดียวกัน คริสตจักรจึงกลายเป็นเป้าหมายของการโจมตีจากการปฏิวัติและการก่อกบฏในประเทศ โบสถ์เหล่านี้จึงไม่ใช่มีเพียงสิ่งก่อสร้าง
ที่ให้บริการทางศาสนาเท่านั้น แต่ยังปรากฏสิ่งก่อสร้างในลักษณะป้อมปราการอยู่ด้วย นอกจากนี้ที่ตั้งของประเทศฟิลิปปินส์ยังตั้งอยู่บนแนวที่เรียกว่าวงแหวนแห่งไฟแปซิฟิก
ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีแนวโน้มเกิดแผ่นดินไหวได้บ่อย ๆ การก่อสร้างจึงให้ความสำคัญกับรากฐานของโบสถ์ แม้บางแห่งจะรับความเสียหายจากแผ่นดินไหว แต่ก็ได้สร้างขึ้นมาใหม่ทดแทน

 

ที่ตั้ง 

โบสถ์บาโรคแห่งฟิลิปปินส์ ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกด้านวัฒนธรรมของอินโดนีเซีย ประกอบด้วยโบสถ์ 4 แห่ง คือ
1. โบสถ์ซานออกัสติน ในกรุงมะนิลา (San Agustin Church in Manila) 
           เป็นโบสถ์คาทอลิกแห่งแรกที่สร้างบนเกาะลูซอน ทันทีที่สเปนมีชัยเหนือกรุงมะนิลา ซึ่งโบสถ์แห่งนี้ถูกนับเป็นตัวอย่างสถาปัตยกรรมแบบบาโรค มีความโดดเด่นด้วยการประดับโครงสร้างอย่างสวยงาม บนเพดานเป็นวงโค้งและมีภาพวาดลวงตาบนเพดาน เน้นแสงเงาตัดกันโดยปรับให้เข้ากับสภาพอากาศของฟิลิปปินส์

ที่มา https://sites.google.com/site/worldheritageinaseann/filippins

2. โบสถ์ซานตามาเรีย ในอิโลโกสซูร์ (Santa Maria Church in Ilocos Sur)

           เป็นสิ่งที่ให้ระลึกถึง 4 ศตวรรษของการปกครองของสเปนในพื้นที่ ตัวอาคารโบสถ์ก่ออิฐสีแดงโดดเด่น มีโครงสร้างที่ป้องกันการถล่มเนื่องจากแผ่นดินไหว ตัวโบสถ์สร้างขึ้นบนเนินเขา ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นจุดชมวิวและเป็นป้อมปราการเท่านั้น แต่เป็นศูนย์กลางทางศาสนาในยุคแรกของการบริหารภูมิภาค โดยคริสต์ศาสนาและทหารของสเปน
ที่มา https://sites.google.com/site/worldheritageinaseann/filippins
 3. โบสถ์ซานอกัสติน ในปาโออาย จังหวัดอิโลโคสนอร์เต (San Agustin Church in Paoay, Ilocos Norte)
         บสถ์เซนต์ออกัสตินในปาโออาย เป็นที่รู้จักกันทั่วไปในชื่อ โบสถ์ปาโออาย (Paoay Church) เป็นโบสถ์โรมันคาทอลิก สร้างจาก อิฐ หินปะการัง และไม้แปรรูป สร้างเสร็จสมบูรณ์ในปี ค.ศ 1710 (พ.ศ. 2253) ตัวโบสถ์เป็นศิลปะผสมระหว่างแบบกอทิกและบาโรค รวมทั้งได้รับอิทธิพลของศิลปะแบบจีนและชวา โบสถ์เซนต์ออกัสตินในปาโออาย มีชื่อเสียงจากสถาปัตยกรรมที่เน้นคานขนาดใหญ่ที่ด้านข้างและด้านหลังของอาคาร มีหอระฆังสร้างขึ้นจากหินปะการัง มีการขุดพบหลักฐานทางโบราณคดียุคก่อนประวัติศาสตร์ เช่น โครงกระดูก และเครื่องปั้นดินเผาในบริเวณโบสถ์ ปัจจุบันได้นำไปแสดงไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
ที่มา https://sites.google.com/site/worldheritageinaseann/filippins

 4. โบสถ์ซานโต โทมัส เดอ วิลลานูวา ในไมอากาโออิโลอิโล (Sto. Tomas de Villanueva Church in Miagao, Iloilo)
          หรือ โบสถ์ไมอากาโอ เป็นสถานปฏิบัติของศริสตจักรโรมันคาทอลิก นิกายออกัสติน สร้างขึ้นในปี ค.ศ 1731 เมืองและโบสถ์ได้ถูกทำลายลงโดยการรุกรานโจรสลัดมุสลิมในปี ค.ศ 1741 และในปี 1754  ชึ่งเป็นเหตุให้เมืองถูกสร้างขึ้นมาใหม่ในทำเลที่ปลอดภัยมากขึ้น โบสถ์ใหม่ได้สร้างขึ้นในปี ค.ศ 1787-1797 
ที่มา http://aseannotes.blogspot.com/2014/08/2.html
     นอกจากจะเป็นสถานที่ปฏิบัติภาระกิจทางศาสนาแล้ว ยังทำหน้าที่เป็นป้อมปราการเพื่อต้านทานการรุกรานที่จะเกิดขึ้นในอนาคต อย่างไรก็ตามโบสถ์ได้รับความเสียหายอย่างรุนแรงจากไฟไหม้สองครั้ง ในระหว่างการปฏิวัติกับสเปนในปี
1898 และในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง


 การขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก
      ซึ่งโบสถ์ทั้ง 4 แห่งนี้ นอกจากจะแสดงถึงการเข้ามาของศาสนาคริสต์ในฟิลิปปินส์แล้ว ยังถือว่าเป็นศูนย์กลางอำนาจของสเปนในภูมิภาคนี้ในสมัยนั้นอีกด้วย และได้รับการยกย่องในด้านสถาปัตยกรรมด้วยศิลปะแบบบารอคของยุโรปที่สร้างสรรค์ด้วยช่างชาวจีนและฟิลิปปินส์  โบสถ์ทั้ง 4 แห่งได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกรวมกันในปี พ.ศ.2536 โดยมีคุณสมบัติ 2 ข้อ ดังนี้
2. เป็นสิ่งที่มีอิทธิพลยิ่ง ผลักดันให้เกิดการพัฒนาสืบต่อมาในด้านการออกแบบทางสถาปัตยกรรม อนุสรณ์สถาน ประติมากรรม สวน และภูมิทัศน์ ตลอดจนการพัฒนาศิลปกรรมที่เกี่ยวข้อง หรือการพัฒนาการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์ ซึ่งได้เกิดขึ้นในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง หรือบนพื้นที่ใดๆ ของโลกซึ่งทรงไว้ซึ่งวัฒนธรรม
4. เป็นตัวอย่างอันโดดเด่นของประเภทของสิ่งก่อสร้างอันเป็นตัวแทนของการพัฒนาทางด้านวัฒนธรรม สังคม ศิลปกรรม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี อุตสาหกรรม ในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ

     เป็นอย่างไรบ้างล่ะคะกับเรื่องที่มาลียกมาให้ได้อ่านกันวันนี้ ถ้ามีใครที่เคยไปเที่ยวที่แห่งนี้มาแล้ว หรืออยากจะลองไปเที่ยวดูสักครั้งแล้วล่ะก็อย่าลืมมาเล่าให้มาลีฟังผ่านคอมเม้นท์ด้านล่างเลยนะคะ และถ้าใครที่อยากลองไปก็อย่าลืมชวนมาลีไปด้วยนะคะ สำหรับวันนี้ มาลีต้องบ้ายบายทุกคนแล้ว ไว้เจอกันใหม่สำหรับสถานที่ต่อไป สวัสดีค่าาาาาา


 อ้างอิงข้อมูล

World Heritage Site : Filippine,Singapore.(2560).PI-Nu.สืบค้นเมื่อวันที่ 6 กันยายน 2561.จาก  
มรดกโลกในฟิลิปปินส์ 2 : โบสถ์บาโรคแห่งฟิลิปปินส์ใ(2559).ASEANnote.สืบค้นเมื่อวันที่ 6    
        กันยายน 2561.จาก aseannotes.blogspot.com/2014/08/2.html

เชษฐ์ ติงสัญชลี. (ม.ป.ป.). โบสถ์ซาตามาเรีย. (ออนไลน์). สืบค้นเมื่อวันที่ 6 กันยายน 2561,
       จาก http://www.sac.or.th/databases/seaarts/th/

ไม่ปรากฏชื่อผู้แต่ง. (2556). โบสถ์ซานอะกุสติน (San Agustin Church).  (ออนไลน์). สืบค้นเมื่อวันที่  6       

       กันยายน 2561,จาก http://www.hiclasssociety.com/?p=38473 

ไม่ปรากฏชื่อผู้แต่ง.(ม.ป.ป.).ฟิลิปปินส์.สืบค้นเมื่อวันที่ 6 กันยายน 2561.จาก https://sites.google.com

       /site/worldheritageinaseann/filippins







Friday, October 5, 2018

มาลีมาเอิ้น ชวนเชิญเพื่อเพื่อนๆไปเที่ยวหมีเซิน มาเด้อๆ


           สวัสดีค่าาา...สวัสดีทุกคนเลยที่เข้ามาเยี่ยมชมบล็อกของมาลีในวันนี้นะคะ แล้ววันนี้มาลีก็จะมาพาทุกคนไปเที่ยวสถานที่ที่เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับโบราณสถานอีกเช่นเคย ใครที่เคยอ่านเรื่องก่อนหน้านี้ของมาลีก็รบกวนฝากเรื่องนี้ไว้ในอ้อมอกอ้อมใจอีกเรื่องด้วยนะคะ ส่วนใครที่ยังไม่เคยอ่านก็อยากจะให้ลองเปิดใจอ่านดูก่อนนะตะ สำหรับในส่วนของวันนี้นะคะ มาลีจะพาทุกคนไปเที่ยวที่ แต่น แตน แต๊นน...เมืองมรดกโลกหมี่เซิน เจ้าของเดียวกับเมืองเว้ นั่นก็คือประเทศเวียดนามนั่นเอง ส่วนวันนี้จะเจอกับอะไรบ้าง ไปกันเลยค่ะ ^0^'

ที่มา:https://maanow.com/ท่องเที่ยว/20-โบราณสถาน-หมี่เซิน-my-son.html
ประวัติของ  โบราณสถาน หมี่เซิน My son ฮอยอัน เวียดนาม (My son Sanctuary)

      หมี่เซิน เป็นแหล่งศาสนสถานของชาวจามที่มีอายุมากกว่า 1600 ปี เป็นปูชนียสถานที่ใหญ่ที่สุด และมีความสำคัญที่สุดของอาณาจักรจามปา ตั้งแต่ศตวรรษที่ 4 จนถึง ศตวรรษที่ 15 สถานที่อันศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ยังเป็นที่ฝังพระศพของกษัตริย์จาม หมี่เซินยังมีความเกี่ยวพันกับนครวัดของกัมพูชา เพราะหลังจากที่ชาวจามสร้างแหล่งศาสนสถานแห่งนี้เสร็จแล้ว ก็พากันเดินทางไปสร้างนครวัดต่อ ดังนั้นหมี่เซินจึงมีความเก่าแก่มากกว่านครวัด   

     ซึ่งกลุ่มปราสาทหมี่เซิน ตั้งอยู่ใจกลางหุบเขากว้าง ซึ่งเป็นที่ราบต่ำ ถูกรายล้อมไปด้วยภูเขาขนาดใหญ่ ตรงใจกลางมีลำธารน้ำไหลผ่าน  โดยหุบเขากว้างแห่งนี้มีลักษณะคล้ายกับโยนี มีภูเขาลูกใหญ่ก็มีลักษณะคล้ายกับศิวลึงค์ ลำธารที่ไหลผ่านก็เหมือนกับน้ำที่ไหลผ่านโยนี ธรรมชาติของที่นี่ดูเหมือนกับแท่นบูชา ชาวจามเลือกสถานที่แห่งนี้เพื่อสักการะเทพเจ้าของฮินดู โดยหมี่เซินถือว่าเป็นดินแดนอันศักดิ์สิทธิ์ของชาวจามนั่นเอง

ที่มา:http://www.all-free-photos.com
แม้ว่าสภาพอากาศโดยรอบๆโบราณสถานหมี่เซินจะดูร้อนอบอ้าว เนื่องจากสภาพอาศที่ร้อนของประเทศเวียดนามแล้วนั้น แต่เมื่อใดที่ได้เข้าไข้างในหมี่เซินแล้ว ก็จะรู้สึกเย็นสบายขึ้นมาสถานที่แห่งนี้อาจดูเงียบงันเนื่องด้วยเป็นที่ที่ไม่ค่อยมีผู้คน แต่ก็จะมีความคึกคัก เนื่องมาจากเสียงของบรรดาจักจั่น เรไรร้องเจื้อยแจ้วเกรียวกราวกัน
ที่มา:http://all-about-seas.blogspot.com/2017/10/blog-post.html
      กลุ่มปราสาทหมีเซินตั้งอยู่บริเวณที่ราบต่ำ มีภูเขาโอบล้อม ประกอบด้วยปราสาททั้งหมด 73 หลัง แต่ในช่วงสงครามเวียดนาม โบราณสถานจำนวนมากถูกทำลาย ทำให้ปัจจุบันเหลือปราสาทเพียงกว่า ๒๐ หลังเท่านั้น และยังมีร่องรอยของปราสาทที่ถูกทำลายหลงเหลืออยู่ให้เห็น สถาปัตยกรรมที่โดดเด่นของปราสาทจามคือ ภาพแกะสลักบนผนังและอิฐที่ใช้ก่อสร้างปราสาทที่ทนกับกาลเวลา  ชาวจามรู้จักใช้มอร์ตาร์ในการก่อสร้างปราสาท ส่วนช่างฝีมือดีได้ทำการแกะสลักลวดลายบนผนังอิฐอย่างประณีตสวยงาม ซึ่งเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของปราสาทหมีเซินที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาดมาเที่ยวชมเมื่อมาเวียดนาม
ที่มา:https://maanow.com/ท่องเที่ยว/20-โบราณสถาน-หมี่เซิน-my-son.html
 สถานที่แห่งนี้ได้ถูกสร้างขึ้นเนื่องจากอิทธิพลของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู ซึ่งจะเห็นได้จากการแกะสลักลวดลายเกี่ยวกับเรื่องเล่าของเทพเจ้าของศาสนาฮินดูลงบนแผ่นหินทราย

ที่มา:https://maanow.com/ท่องเที่ยว/20-โบราณสถาน-หมี่เซิน-my-son.html
 ทุกคนจะมีการสังเกตดูที่ก้อนอิฐสีแดงลึกๆตรงนั้นกันใช่ไหมคะ สงสัยกันไหมว่าทำไมปราสาทที่มีความเก่าแก่ขนาดนี้ถึงไม่มีคราบของตะไคร่น้ำเกาะ หรืออาจจะมีแต่ว่าค่อนข้างน้อย เนื่องจากในความเป็นจริงก้อนอิฐสีแดงพวกนี้ควรจะกลายเป็นสีดำไปแล้ว นั่นก็เพราะว่า ปราสาทมีการบูรณะใหม่เมื่อไม่กี่ปีมานี้เองค่ะ และที่เห็นเป็นกองๆอยู่ด้านล่างนั้นก็คือชิ้นส่วนของราสาทที่พังทลายลงมานั่นเอง

ที่มา:www.aec10news.com/ท่องเที่ยวอาเซียน/item/5466-หมีเซิน-เมืองมรดกโลก
    


       หมีเซิน เปิดทำการตลอดทั้งปี มีค่าธรรมเนียมสำหรับการเข้าชม 50,000 ด่อง คิดเป็นเงินไทยอยู่ที่ประมาณ 170 บาท ช่วงเวลาที่เหมาะสมสำหรับการมาเยี่ยมชม คือ ช่วงเช้า เพราะอากาศจะไม่ร้อนจนเกินไป การเดินทางมายังหมีเซิน สามารถมาได้โดยนั่งเครื่องบินมาลงยังสนามบินฮานอย อย่างไรก็ดี แนะนำว่าให้ซื้อทัวร์แบบ One day trip ราคาประมาณ 8 USD จากบริษัทผู้ให้บริการท่องเที่ยวของเวียดนาม ซึ่งขากลับจะมีให้เลือกระหว่างเดินทางกลับด้วยรถบัส หรือจะเดินทางกลับทางเรือก็ได้อีกด้วย
ที่มา:http://www.aec10news.com/ท่องเที่ยวอาเซียน/item/5466-หมีเซิน-เมืองมรดกโลก

       นอกจากการเดินเที่ยวชมกลุ่มปราสาทหมีเซินแล้ว ยังมีพิพิธภัณฑ์จามแห่งเมืองดานัง (Da Nang Museum of Cham Sculpture) ตั้งอยู่ที่เมืองดานัง บริเวณหัวมุมติดถนนสองสาย ได้แก่ ถนนสองกันยา และถนนจึงญือเวือง สถาปัตยกรรมของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เป็นอาคารสองชั้นแบบเปิดโล่ง สร้างขึ้นในแบบกอทิก โดยสถาบันวิจัยทางโบราณคดีแห่งฝรั่งเศส ในปีพ.ศ. 2479  
http://vovworld.vn/th-TH/ทองเทยว/พพธภณฑประตมากรรมจามนครดานง-197025.vov
และน่าสนใจไปกว่านั้นก็คือโบราณสถานแห่งอาณาจักรจาม และพิพิธภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องนั้นมักจะมีผู้คนหมุนเวียนมาชื่นชมไม่ขาดสาย ยืนยันได้จากจำนวนผู้คนที่แวะเวียนเข้ามาเยี่ยมชมที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ตกปีละ
ไม่ต่ำกว่าล้านคน ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะอาณาจักรแห่งนี้เต็มไปด้วยศิลปะที่งดงาม และเสน่ห์ที่ดึงดูดให้ผู้คนอยากเข้าไปชมเก็บภาพความประทับใจด้วยตาตนเองจริง ๆ ก็เป็นได้
         เป็นอย่างไรบ้างล่ะคะกับเรื่องที่มาลียกมาให้ได้อ่านกันวันนี้ ถ้ามีใครที่เคยไปเที่ยวที่แห่งนี้มาแล้ว ล่ะก็อย่าลืมมาเล่าให้มาลีฟังผ่านคอมเม้นท์ด้านล่างเลยนะคะ และถ้าใครที่อยากลองไปก็อย่าลืมชวนมาลีไปด้วยนะคะ สำหรับวันนี้ มาลีต้องบ้ายบายทุกคนแล้ว ไว้เจอกันใหม่สำหรับสถานที่ต่อไป สวัสดีค่าาาาาา

 

อ้างอิงข้อมูลจาก
หมี่เซิน เมืองมรดกโลก.(2560).AEC10News.สืบค้นเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2561.จาก   
        http://www.aec10news.com/ท่องเที่ยวอาเซียน/item/5466-หมีเซิน-เมืองมรดกโลก
โบราณสถาน หมี่เซิน My son ฮอยอัน เวียดนาม.(2016).มะนาว.สืบค้นเมื่อวันที่ 5 กันยายน 2561.จาก  
       https://maanow.com/ท่องเที่ยว/20-โบราณสถาน-หมี่เซิน-my-son.html
หุบเขาศักดิ์สิทธิ์ "หมี่เซิน" สถานที่อันทรงค่าในเวียดนาม.(2560).all about southeast asia.สืบค้น
     เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2561.จากhttp://all-about-seas.blogspot.com/2017/10/blog-post.html
โบราณสถานหมี่เซิน-จุดนัดพบเชิงศึกษาวัฒนธรรม.(2557).VOV5.vn.สืบค้นเมื่อวันที่ 5 กันยายน
     2561.จาก vovworld.vn/th-TH/ทองเทยว/โบราณสถานหมเซนจดนดพบเชงศกษาวฒนธรรม
     -250311.vov
ข้อมูลท่องเที่ยวเวียดนาม:ปราสาทหมี่เซิน (My son senctury).(2014).Thaifly.สืบค้นเมื่อวันที่ 5
      กันยายน 2561.จาก https://www.thaifly.com/index.php?route=news/news&news_id=867